ข้อมูลพื้นฐานจังหวัดศรีสะเกษ
1.1 ที่ตั้ง ประชากร และการปกครอง
(1) ที่ตั้ง
จังหวัดศรีสะเกษ ตั้งอยู่ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง เรียกว่า อีสานใต้
ห่างจากกรุงเทพมหานคร โดยทางรถยนต์ประมาณ 571 กิโลเมตร ทางรถไฟประมาณ 551 กิโลเมตร
มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียง ดังนี้
ทิศเหนือ เขตอำเภอราษีไศล อำเภอศิลาลาด และอำเภอยางชุมน้อย ติดต่อกับจังหวัดร้อยเอ็ด
ทิศใต้ เขตอำเภอขุขันธ์ อำเภอขุนหาญ และอำเภอกันทรลักษ์ ติดต่อกับประเทศกัมพูชาประชาธิปไตย
ทิศตะวันออก เขตอำเภอกันทรลักษ์ อำเภอกันทรารมย์ และอำเภอโนนคูณ ติดต่อกับจังหวัดอุบลราชธานี
ทิศตะวันตก เขตอำเภออุทุมพรพิสัย อำเภอปรางค์กู่ อำเภอห้วยทับทัน และอำเภอบึงบูรพ์ ติดต่อกับจังหวัดสุรินทร์
(2) ประชากร
จังหวัดศรีสะเกษมีประชากร รวมทั้งสิ้น 1,462,028 คน เป็นชาย 731,029 คน
เป็นหญิง 730,999 คน (ข้อมูล ณ เดือนธันวาคม พ.ศ.2556 ตามประกาศราชกิจจานุเบกษา)
(หมายเหตุ ข้อมูลปัจจุบัน ณ เดือนกันยายน พ.ศ.2557 ประชากร รวมทั้งสิ้น 1,463,907 คน
เป็นชาย 731,794 คน เป็นหญิง 732,113 คน)
(3) การปกครอง
จังหวัดศรีสะเกษแบ่งการปกครองออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
1. การปกครองส่วนภูมิภาค จังหวัดศรีสะเกษแบ่งการปกครองออกเป็น 22 อำเภอ 204 ตำบล 2,633 หมู่บ้าน (ข้อมูล ณ เดือนมกราคม พ.ศ.2558)
2. การปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัดศรีสะเกษแบ่งการปกครองออกเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง เทศบาลเมือง 2 แห่ง
เทศบาลตำบล 35 แห่ง องค์การบริหารส่วนตำบล 179 แห่ง
(ข้อมูล ณ เดือนมกราคม พ.ศ.2558)
1.2 พื้นที่ ลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศ
(1) พื้นที่
จังหวัดศรีสะเกษมีพื้นที่ประมาณ 8,839.90 ตารางกิโลเมตร หรือ 5,524,987.5 ไร่
(2) ภูมิประเทศ
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูงสลับทุ่งนามีภูเขาและป่าไม้อยู่ทางตอนใต้ และพื้นที่จะค่อยๆ ลาดลงสู่ทิศเหนือและทิศตะวันตก ซึ่งเต็มไปด้วย
ห้วย คลอง หนอง บึง ต่างๆ ตลอดระยะทางที่ลำน้ำมูลและลำน้ำชีไหลผ่าน สภาพดินร้อยละ 60 เป็นลักษณะดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดีแต่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ
และมีแนวชายแดนติดกับประเทศกัมพูชา ประมาณ 127 กม. ( อำเภอกันทรลักษ์ 76 กม. อำเภอขุนหาญ 18 กม. และอำเภอภูสิงห์ 33 กม. )
อำเภอขุนหาญตั้งอยู่ทางทิศใต้ของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้
"ขุนหาญ" เป็นชื่อของชาวเวียงจันทน์ซึ่งเป็นทหารมาพร้อมกับกองทัพพระเจ้าอนุวงศ์บุตรเจ้าศิริบุญสารผู้ครองกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) ในขณะนั้นเวียงจันทน์เป็นเมืองขึ้นของไทยและต้องการแยกเป็นเอกราช เจ้าอนุวงศ์และเจ้าราชบุตรโย้จึงได้ยกกองทัพเมืองเวียงจันทน์และกองทัพเมืองจำปาศักดิ์ลงมาเพื่อตีกรุงเทพฯ และเพื่อนำเอาเชลยศึกชาวลาวที่ถูกสยามกวาดต้อนมาตั้งแต่สมัยธนบุรีกลับคืนบ้านเมือง ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2369 กองทัพลาวได้ยกทัพมาถึงเมืองนครราชสีมา (โคราช) ขณะนั้นเจ้าพระยามหานครราชสีมาไม่อยู่ และพระยาปลัดเมืองนครราชสีมาไปราชการเมืองขุขันธ์ ทัพลาวจึงเข้ายึดเมืองได้ ยึดเอาทรัพย์สิน และให้พระยารามพิชัยกวาดต้อนชาวเมืองโคราชไปเป็นเชลยศึกเพื่อจะนำไปยังเมืองเวียงจันทน์ เจ้าอนุวงศ์ยังได้สั่งให้ทัพหน้าไปกวาดต้อนเอาชาวลาวเวียงที่เมืองปากเพรียว (สระบุรี) เพื่อนำกลับไปยังเมืองเวียงจันทน์อีกด้วย ในบรรดาเชลยศึกมี คุณหญิงโม (ชาวลาวเรียกว่าคุณหญิง "โม้") รวมอยู่ด้วย คุณหญิงโมเป็นหญิงฉลาดรู้ทันว่าเจ้าอนุวงศ์หลอกลวง จึงออกอุบายให้ทหารเวียงจันทน์ตายใจโดยให้หญิงไทยที่ถูกต้อนมาด้วยที่เป็นเชลยยั่วยวนหน่วงเหนี่ยวทหารให้เดินทัพช้าลง วางแผนให้พวกผู้หญิงหลอกขอจอบ เสียม มีด ใช้ซ่อมเกวียนและทำอาหาร แท้จริงแล้วกลับนำจอบ เสียม มีด นั้น มาลอบตัดไม้เป็นอาวุธแอบซ่อนไว้ ในวันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๓๖๙ ณ ทุ่งสัมฤทธิ์แขวงพิมาย ขณะพักเป็นโอกาสเหมาะที่พวกผู้หญิงช่วยกันหลอกล่อมอมเหล้าทหารลาวจนเมามายไร้สติไปทั้งกองทัพ พอสบโอกาสทั้งหญิงชายก็แย่งอาวุธฆ่าฟันจนทหารล้มตายเป็นจำนวนมากจนกองทัพลาวแตกพ่ายแพ้ไป เมื่อชาวโคราชได้รับชัยชนะจึงตั้งค่ายอยู่ที่ทุ่งสัมฤทธิ์ ชาวบ้านที่หนีไปทราบข่าวก็ออกมาร่วมสมทบ ขณะเดียวกันพระยาปลัดเมืองที่ไปราชการเมืองขุขันธ์ก็ยกทัพกลับตามมาช่วยทันเวลา ส่วนเจ้าอนุวงศ์รู้ข่าวว่าทางกรุงเทพฯยกทัพขึ้นมาช่วยจึงเลิกทัพไป มีทหารลาวบางกลุ่มไม่ยอมกลับเวียงจันทน์โดยเฉพาะกลุ่มของ "นายหาญ" มาตั้งรกรากอยู่บ้านแดง ต.ขุนหาญ อ.ขุนหาญ ในปัจจุบัน และต่อมาได้ไปรับราชการกับพระยาขุขันภักดีศรีนครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์ เนื่องจาก "นายหาญ" เป็นคนเฉลียวฉลาดอาจหาญ มีปฏิภาณไหวพริบ มีคนเกรงขาม ด้วยความสามารถดังกล่าวจึงได้รับตั้งบรรดาศักดิ์เป็น "ขุน" ขุนหาญ เมื่อเกษียณอายุราชการ ก็ได้กลับมาอยู่บ้านเดิม และ ขณะนั้นได้มีการจัดตั้งหมู่บ้านให้เป็นตำบลจากทางราชการพร้อมเลือกกำนัน ขุนหาญได้รับเลือกจากราษฏรเป็นกำนันคนแรกตั้งชื่อว่า"ตำบลขุนหาญ" ต่อมาทางราชการได้แยกการปกครองให้เป็น "กิ่งอำเภอ" จึงได้นำชื่อ "กิ่งอำเภอขุนหาญ" มาเป็นชื่ออำเภอ "อำเภอขุนหาญ" ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501 จนถึงปัจจุบัน